Zawasde.com - Intelligent Digital Products อยากให้คนไทยเก่งธุรกิจ อยากให้คนไทยเก่งสตาร์ทอัพ
STARTUP
START BUSINESS
SMART HERE!
Source Code
Software
Course Online
Videos Footage
Sound Effect
Motion Graphics
Biz & Startup For Sale
เลือกสิ่งที่ต้องการ กดเลย!
เรื่องราวของอาเฉียว
เรื่องราวของอาเฉียว
เริ่ม Start อย่าง Smart
อยากทำออนไลน์
อยากทำออนไลน์
อยากลุยธุรกิจ แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง?
นำไปใช้ได้เลย
นำไปใช้ได้เลย
เครื่องมือเพิ่มลูกค้า 10x พร้อมใช้
เรียนง่าย! ไม่น่าเบื่อ
เรียนง่าย! ไม่น่าเบื่อ
อยากเปลี่ยนผลลัพธ์ อัพสกิล
ขยายธุรกิจได้ง่าย
ขยายธุรกิจได้ง่าย
กำลังหาเครื่องมือทุ่นแรงในการทำธุรกิจ
ไม่ต้องเสียเวลาเริ่มเอง
ไม่ต้องเสียเวลาเริ่มเอง
อยากทำสตาร์ทอัพ พร้อมลุยแล้ว
มีเงินทุนพร้อม
มีเงินทุนพร้อม
อยากหาซื้อธุรกิจมาทำให้เติบโต
ลูกค้าเพิ่ม 10x ทันที
นำไปใช้ได้เลย
ไม่ต้องคิดเอง!!!
แคปชั่นขายดี 500+ แคปชั่น
100 ประโยคปิดการขาย
การตั้งชื่อเพจให้ค้นหาเจอ
กลุ่มเป้าหมาย 3,000+ คีย์เวิร์ด
108 Prompts การตลาด ถาม Ai ให้ยอดปัง
Wisdom
ความแตกต่างระหว่าง

ความแตกต่างระหว่าง "ไอเดียธรรมดา" กับ "ไอเดียที่ขายได้"

## ความแตกต่างระหว่าง "ไอเดียธรรมดา" กับ "ไอเดียที่ขายได้" ## . "ไอเดียเจ๋ง ๆ มีอยู่ทุกวัน แต่ไอเดียที่เปลี่ยนเป็นเงินในบัญชีได้... มีไม่กี่ไอเดียเท่านั้น" . เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนมีไอเดียดี ๆ แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ ในขณะที่บางคนไอเดียดูธรรมดา แต่กลับสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้? . . เราจะพาคุณไปค้นหาความลับที่แยก "ไอเดียธรรมดา" ออกจาก "ไอเดียที่ขายได้" เพื่อให้คุณรู้ว่าต้องพัฒนาไอเดียของคุณอย่างไร ให้มีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น . . #1. แก้ปัญหาที่ "มีอยู่จริง" ไม่ใช่แค่ "น่าสนใจ" . คุณรู้หรือไม่ว่า Startup ที่ล้มเหลวกว่า 40% มีสาเหตุมาจากการสร้างสินค้าที่ไม่มีใครต้องการจริง ๆ . เคยมีเจ้าของ Startup รายหนึ่งทุ่มเงินกว่า 5 ล้านบาทพัฒนาแอพจัดการพื้นที่จอดรถในคอนโด แต่สุดท้ายก็ต้องปิดตัว เพราะคนในคอนโดส่วนใหญ่มีที่จอดประจำอยู่แล้ว . ปัญหาที่เขาคิดว่ามี... จริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับกลุ่มเป้าหมายเลย . แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าปัญหาที่คุณกำลังจะแก้นั้น "มีอยู่จริง"? . - คุยกับลูกค้าจริง ๆ อย่างน้อย 100 คน - สังเกตพฤติกรรมการใช้ชีวิตของกลุ่มเป้าหมาย - ทดสอบว่าพวกเขายินดีจ่ายเงินแก้ปัญหานี้จริงไหม . . #2. เริ่มเล็ก แต่ขยายได้ใหญ่ . ไอเดียที่ขายได้ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ตั้งแต่วันแรก แต่ต้องมีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต . ตัวอย่างที่ชัดเจนคือแพลตฟอร์มรับ-ส่งอาหารรายหนึ่ง ที่เริ่มต้นจากการส่งอาหารในย่านทองหล่อเพียงย่านเดียว แต่พอโมเดลธุรกิจพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผล พวกเขาก็ขยายบริการไปยังพื้นที่อื่น ๆ และเพิ่มบริการใหม่ ๆ จนกลายเป็น Super App ในที่สุด . ลองใช้ 3 ข้อนี้ในการค้นหาไอเดียที่ขายได้ของคุณ... . - เริ่มจากตลาดเล็ก ๆ ที่คุณเข้าใจดี - ทดสอบและพิสูจน์โมเดลให้ชัดเจน - วางแผนการขยายในอนาคต . . #3. ทำซ้ำได้ ขยายได้ วัดผลได้ . แม้แต่ร้านก๋วยเตี๋ยวริมทางที่ขายดี ก็อาจขยายเป็นแฟรนไชส์ร้อยสาขาได้ ถ้ามีระบบที่ดีพอ . ดังนั้น ไอเดียของคุณจะขายได้ก็ต่อเมื่อ... . - มีขั้นตอนชัดเจน ที่ใครก็ทำตามได้ - มีระบบที่ทำซ้ำได้ในต้นทุนที่เหมาะสม - มีตัวชี้วัดที่วัดผลได้ชัดเจน . . #4. คุ้มค่าพอที่จะจ่าย . มีผู้ประกอบการคนหนึ่งสร้างแอพวางแผนการเงินที่ยอดเยี่ยม ใช้งานง่าย ฟีเจอร์ครบครัน แต่ตั้งราคาเดือนละ 1,500 บาท ในขณะที่คู่แข่งเก็บแค่เดือนละ 99 บาท... ผลลัพธ์คือเขาแทบไม่มีคนสมัครใช้งานเลย . ไอเดียที่ขายได้ ต้องสร้างคุณค่าที่มากกว่าราคาที่ลูกค้าต้องจ่าย โดยคุณต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้... . - ลูกค้าประหยัดอะไรได้บ้างจากการใช้สินค้า/บริการของคุณ? - พวกเขาได้ผลตอบแทนคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไหม? - ราคาของคุณแข่งขันได้ในตลาดหรือเปล่า? . . #5. ทำได้จริงในต้นทุนที่แข่งขันได้ . หลายคนมีไอเดียสร้างรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูก แต่พอลงมือทำจริง กลับพบว่าต้นทุนสูงกว่าที่คิดหลายเท่า ทำให้ขายในราคาที่ตั้งใจไว้ไม่ได้ . ก่อนจะบอกว่าไอเดียของคุณขายได้ คุณต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้... . - มีเทคโนโลยีและทรัพยากรที่จำเป็นหรือยัง? - ต้นทุนการผลิตและดำเนินการเท่าไหร่? - กำไรต่อชิ้นพอที่จะอยู่รอดและเติบโตได้ไหม? . . สุดท้าย... ไอเดียที่ขายได้ไม่จำเป็นต้องเป็นไอเดียที่ไม่มีใครเคยคิดมาก่อน แต่ต้องเป็นไอเดียที่แก้ปัญหาได้ดีกว่า ง่ายกว่า หรือถูกกว่าวิธีที่มีอยู่ . ถ้าคุณอยากพัฒนาไอเดียของตัวเองให้มีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น ที่ Zawasde เรามีคอร์สฟรี "Unlock พลังใหม่! ความคิดสร้างสรรค์สร้างได้ ง่าย! จนใครๆ ก็ทำได้" ซึ่งช่วยคุณได้แน่นอน . เพราะก่อนจะสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ คุณต้องเริ่มจากการมีความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่าง เพื่อสร้างไอเดียที่โดดเด่นและขายได้จริงก่อน . เข้ามาปลดล็อคพลังความคิดสร้างสรรค์ไปด้วยกัน! . . กดลิงค์เข้าเรียนฟรีได้เลย! https://zawasde.com/product/?p=Unlock-พลังใหม่-ความคิดสร้างสรรค์สร้างได้-ง่าย-จนใครๆก็ทำได้ . . หรือถ้าอยากลองใช้เครื่องมือ และรับความรู้ด้านสตาร์ทอัพ กดที่ปุ่มสมัครสมาชิกเลย!

วันแรกของภารกิจแห่งอนาคต

วันแรกของภารกิจแห่งอนาคต

วันแรกของภารกิจแห่งอนาคต ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ เพราะโตมากับวีดีโอแนวนอน ก็เลยคุ้นชินกับการถ่ายแนวนอน แต่วันนี้เปลี่ยนเป็นแนวตั้ง อาจเขินๆนิดนึง ยังไม่ค่อยชิน ทนดูกันหน่อยนะ #อยากให้คนไทยเก่งธุรกิจ #อยากให้คนไทยเก่งสตาร์ทอัพ

Story-Selling - เปลี่ยนเรื่องเล่า ให้กลายเป็นยอดขายหลักล้าน

Story-Selling - เปลี่ยนเรื่องเล่า ให้กลายเป็นยอดขายหลักล้าน

## Story-Selling - เปลี่ยนเรื่องเล่า ให้กลายเป็นยอดขายหลักล้าน ## . "บางเรื่องเล่า... ขายของได้ดีกว่าลดราคา 50%" . เคยสังเกตไหมว่า ทำไมบางแบรนด์ถึงได้ลูกค้าจำนวนมากทั้ง ๆ ที่สินค้าไม่ได้ดีที่สุด ราคาไม่ได้ถูกที่สุด แต่ลูกค้ากลับยอมจ่ายแพงกว่า และจงรักภักดีกับแบรนด์มากกว่า? . คำตอบก็คือ "Story-Selling" . ศาสตร์แห่งการเล่าเรื่องที่ทำให้ลูกค้า "รู้สึก" มากกว่า "รู้" และตัดสินใจซื้อด้วยหัวใจ ไม่ใช่แค่เหตุผล... . และวันนี้... เราจะพาคุณไปเรียนรู้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบมืออาชีพ ที่จะเปลี่ยนสินค้าธรรมดา ให้กลายเป็นแบรนด์ที่ลูกค้ายอมจ่าย และพร้อมจงรักภักดีในระยะยาว . . #1. เริ่มจาก "ทำไม" ไม่ใช่ "อะไร" . คนส่วนใหญ่มักเริ่มต้นเล่าเรื่องด้วยการบอกว่า "สินค้าของเราคืออะไร" หรือ "มีดีอย่างไร" แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่จะทำให้ลูกค้าสนใจและจดจำแบรนด์ของคุณได้ คือการเล่าว่า "ทำไมคุณถึงสร้างมันขึ้นมา" . เพราะการเล่า "ทำไม" จะเชื่อมโยงอารมณ์และสร้างความหมายที่ลึกซึ้งให้กับสินค้าของคุณได้ . ลองดูตัวอย่าง... . แบบที่ 1: แบบเดิม ๆ ที่ทุกคนทำ "เราขายกระเป๋าผ้าแคนวาส ราคาถูก คุณภาพดี ใช้งานทนทาน" . แบบที่ 2: เล่าด้วย "ทำไม" "เมื่อ 5 ปีก่อน เราเห็นขยะพลาสติกล้นเมือง และตั้งคำถามว่า เราจะช่วยโลกได้อย่างไร? นั่นคือจุดเริ่มต้นของกระเป๋าผ้าที่ไม่ใช่แค่ทำจากวัสดุรักษ์โลก แต่ยังช่วยลดขยะพลาสติกได้กว่า 1,000 ใบต่อเดือน" . สังเกตเห็นความแตกต่างไหม? . แบบแรก แค่บอกข้อเท็จจริง ที่ใคร ๆ ก็พูดได้ ไม่ต่างจากสินค้าทั่วไปในตลาด แต่แบบที่สอง สร้างความหมายและคุณค่าที่ลึกซึ้ง ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าการซื้อสินค้าของคุณไม่ใช่แค่ "การซื้อของ" แต่เป็นการ "ร่วมเป็นส่วนหนึ่ง" ในการช่วยโลก . ยิ่งไปกว่านั้น การเล่า "ทำไม" ยังช่วยสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ของคุณ เพราะแม้คู่แข่งจะลอกเลียนสินค้าได้ แต่พวกเขาไม่มีวันลอกเลียน "เหตุผล" และ "แรงบันดาลใจ" ที่ทำให้คุณสร้างมันขึ้นมาได้ . นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ใหญ่ ๆ ถึงทุ่มงบมหาศาลในการเล่าเรื่อง "ทำไม" ของพวกเขา มากกว่าการโฆษณาแค่ว่าสินค้า "คืออะไร" . . #2. สร้าง "ตัวละคร" ในเรื่องเล่าของคุณ . สมองของมนุษย์ถูกสร้างมาให้จดจำเรื่องราวของคนจริง ๆ ได้ดีกว่าตัวเลขหรือสถิติ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการสร้าง "ตัวละคร" ในการเล่าเรื่องจึงสำคัญมาก . ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณกำลังเล่าเรื่องราวของคอร์สลดน้ำหนัก แทนที่จะพูดถึงแค่ตัวเลขของผู้ใช้งาน ลองเล่าแบบนี้... . "คุณนิดเคยน้ำหนัก 85 กิโล เธอพยายามทุกวิธีแต่ไม่เคยสำเร็จ จนวันหนึ่งลูกสาววิ่งมากอด แล้วบอกว่า 'หนูอยากให้แม่อยู่กับหนูไปนาน ๆ' นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอตัดสินใจเด็ดขาด และวันนี้... เธอลดน้ำหนักได้ 25 กิโล พร้อมสุขภาพที่ดีขึ้น" . การเล่าเรื่องผ่านตัวละครแบบนี้ จะทำให้ลูกค้ามองเห็นภาพ เข้าถึงความรู้สึก และที่สำคัญ... เห็นตัวเองในเรื่องราวนั้น . . #3. สร้าง "จุดเปลี่ยน" ที่น่าจดจำ . เรื่องเล่าที่ดีต้องมีจุดพลิกผันที่น่าจดจำ ช็อกใจ หรือสร้างแรงบันดาลใจ เพราะนี่คือจุดที่จะทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์คุณได้ไม่รู้ลืม . นี่คือตัวอย่างการเล่าเรื่องของแบรนด์สบู่ธรรมชาติแบรนด์หนึ่ง... . "วันที่คุณยายล้มป่วยด้วยโรคผิวหนังจากสารเคมี ทำให้เราต้องค้นคว้าสูตรสบู่ธรรมชาติทั้งวันทั้งคืน จนค้นพบว่าสมุนไพรในสวนหลังบ้านที่เราเคยมองข้าม กลับเป็นคำตอบที่เราตามหามาตลอด" . เรื่องราวแบบนี้จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า สินค้าของคุณไม่ได้เกิดจากการทำตามกระแสหรือเห็นแก่เงิน แต่เกิดจากความตั้งใจแก้ปัญหาอย่างแท้จริง . . #4. ใช้ "ประสาทสัมผัสทั้ง 5" ในการเล่า . การกระตุ้นประสาทสัมผัสในการเล่าเรื่อง จะทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนได้สัมผัสประสบการณ์นั้นจริง ๆ และจดจำแบรนด์คุณได้ดียิ่งขึ้น . ลองดูตัวอย่างการเล่าเรื่องของร้านกาแฟร้านนี้... . "เสียงเมล็ดกาแฟคั่วใหม่ที่กรอบกรุบในมือ กลิ่นหอมละมุนที่ลอยละล่องในอากาศยามเช้า และรสชาติเข้มข้นที่ซึมซาบถึงใจในจิบแรก... นี่คือประสบการณ์ที่เราตั้งใจมอบให้คุณทุกวัน" . เมื่อคุณเล่าเรื่องแบบนี้ ลูกค้าจะรู้สึกถึงบรรยากาศ อารมณ์ และประสบการณ์ที่พวกเขากำลังจะได้รับ มากกว่าแค่ฟังข้อมูลสินค้าเฉย ๆ . . #5. จบด้วย "การเชิญชวน" ไม่ใช่ "การขาย" . การจบเรื่องเล่าด้วยการยัดเยียดขายของ จะทำลายมนต์เสน่ห์และความรู้สึกดี ๆ ที่คุณตั้งใจสร้างมาตลอดทั้งเรื่อง . และนี่คือตัวอย่างการจบเรื่องที่ดี... . "และนี่คือเหตุผลที่เราอยากชวนคุณมาเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้... เพราะทุกการตัดสินใจของคุณ คือการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่สำหรับใครบางคน" . . จำไว้ว่า... คนไม่ได้ซื้อสิ่งที่คุณขาย แต่เขาซื้อเรื่องราวที่คุณเล่า . และ Story-Selling เป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ถ้าคุณอยากเรียนรู้เทคนิคและเครื่องมืออื่น ๆ ในการทำธุรกิจเพิ่มเติม เราได้รวบรวมไว้ให้คุณแล้วที่ Zawasde มาเริ่มสร้างธุรกิจในฝันของคุณไปด้วยกัน . กดที่ปุ่มสมัครสมาชิกเลย!

สูตรลัดสร้างธุรกิจด้วย Business Model Canvas

สูตรลัดสร้างธุรกิจด้วย Business Model Canvas

## สูตรลัดสร้างธุรกิจด้วย Business Model Canvas ## . "มีไอเดียธุรกิจ แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง?" . "อยากทำ Startup แต่กลัวว่าจะไม่รอด ทำไงดี?" . ถ้าคุณกำลังมีคำถามเหล่านี้อยู่ในใจ วันนี้เรามีเครื่องมือดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมธุรกิจได้ชัดเจนขึ้นก่อนที่จะลงไปเล่นในสนามจริง นั่นคือ Business Model Canvas หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า BMC . BMC คือแผนผังที่จะช่วยให้คุณเห็นองค์ประกอบสำคัญของธุรกิจทั้ง 9 ด้านในภาพเดียว เหมือนการวาดพิมพ์เขียวของธุรกิจก่อนลงมือสร้างจริง มาดูกันว่าแต่ละส่วนมีอะไรบ้าง . . #1. Customer Segments: รู้จักลูกค้าให้ชัด ก่อนเริ่มต้นทำธุรกิจ . ก่อนจะคิดว่าจะขายอะไร คุณต้องรู้ก่อนว่า "จะขายให้ใคร" . การระบุกลุ่มลูกค้าให้ชัดเจนจะช่วยให้คุณ... . - ออกแบบสินค้า/บริการได้ตรงความต้องการ - เลือกช่องทางการสื่อสารได้เหมาะสม - กำหนดกลยุทธ์การตลาดได้แม่นยำ . เคล็ดลับ: อย่าพยายามขายให้ทุกคน แต่ให้โฟกัสกลุ่มที่มีความต้องการชัดเจนและมีกำลังซื้อ . . #2. Value Propositions: สร้างคุณค่าที่ลูกค้าต้องการ . ตอบให้ได้ว่า "ทำไมลูกค้าถึงต้องเลือกคุณ?" . คุณค่าที่คุณส่งมอบให้ลูกค้าอาจเป็น... . - การแก้ปัญหาที่ยังไม่มีใครแก้ - นวัตกรรมใหม่ที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น - ประสบการณ์ที่แตกต่างจากคู่แข่ง . เคล็ดลับ: คุณค่าไม่ได้อยู่ที่ตัวสินค้า แต่อยู่ที่การแก้ปัญหาหรือการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า . . #3. Channels: เลือกช่องทางที่ใช่ ให้เข้าถึงลูกค้าตัวจริง . ในยุคที่มีช่องทางมากมาย การเลือกช่องทางที่เหมาะสมสำคัญมาก . คุณต้องพิจารณา... . - พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย ว่าเขาอยู่ที่ช่องทางไหนเป็นหลัก - ต้นทุนและประสิทธิภาพของแต่ละช่องทาง - ความสามารถในการเข้าถึงลูกค้า . เคล็ดลับ: เลือกช่องทางที่ลูกค้าของคุณใช้จริง และคุณไม่จำเป็นต้องมีทุกช่องทางตามกระแสก็ได้ . . #4. Customer Relationships: สร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน . ไม่ใช่แค่ขายได้ แต่ต้องรักษาลูกค้าให้อยู่ ด้วยวิธีเหล่านี้... . - สร้างประสบการณ์ที่ประทับใจ - ให้บริการที่เกินความคาดหมาย - รับฟังและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง . จำไว้ว่า: ลูกค้าเก่าที่กลับมาซื้อซ้ำ มีค่ามากกว่าลูกค้าใหม่ . . #5. Revenue Streams: รู้ที่มาของรายได้ . วิเคราะห์แหล่งรายได้ของคุณให้ชัดเจน... . - รายได้หลักมาจากไหน - มีรายได้เสริมอะไรได้บ้าง - แต่ละแหล่งรายได้คุ้มค่าหรือไม่ . จำไว้ว่า: อย่าพึ่งพารายได้จากแหล่งเดียว คุณต้องสร้างรายได้หลายทางให้กับธุรกิจ . . #6. Key Resources: ทรัพยากรที่จำเป็นต่อความสำเร็จ . การมีทรัพยากรที่เหมาะสมและเพียงพอคือรากฐานของธุรกิจที่แข็งแรง . คุณจำเป็นต้องระบุให้ได้ว่าคุณมีทรัพยากรอะไรบ้าง... . - ทรัพยากรทางกายภาพ เช่น อุปกรณ์ สถานที่ - ทรัพยากรทางปัญญา เช่น แบรนด์ สิทธิบัตร ฐานข้อมูล - ทรัพยากรบุคคล โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นหัวใจของธุรกิจ . เคล็ดลับ: ในยุค Startup ทรัพยากรบางอย่างเราไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของเอง แต่อาจใช้วิธีเช่าหรือจ้างบริการแทนก็ได้ . . #7. Key Activities: กิจกรรมสำคัญที่ขาดไม่ได้ . กิจกรรมบางอย่างคือหัวใจที่ทำให้โมเดลธุรกิจของคุณขับเคลื่อนไปได้ คุณต้องระบุให้ได้ว่ากิจกรรมสำคัญอะไรบ้างที่ธุรกิจของคุณต้องโฟกัส เช่น . - กิจกรรมการผลิตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ - กิจกรรมแก้ปัญหาให้ลูกค้า - กิจกรรมสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า . เคล็ดลับ: โฟกัสที่กิจกรรมที่สร้างคุณค่าหลักให้ธุรกิจ อย่ากระจายพลังไปกับงานรองยิบย่อย . . #8. Key Partners: พันธมิตรที่ช่วยให้ธุรกิจแข็งแกร่ง . ในยุคนี้ไม่มีใครประสบความสำเร็จได้คนเดียว คุณต้องมองหา... . - พันธมิตรที่เสริมจุดแข็งให้กัน - ผู้จัดหาทรัพยากรที่เชื่อถือได้ (supplier) - พาร์ทเนอร์ที่ช่วยขยายตลาด . เคล็ดลับ: เลือกพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์และค่านิยมสอดคล้องกัน ไม่ใช่แค่ดูที่ผลประโยชน์ระยะสั้น . . #9. Cost Structure: โครงสร้างต้นทุนที่ควบคุมได้ . ความสำเร็จของธุรกิจ Startup ไม่ได้อยู่ที่การมีรายได้อย่างเดียว แต่ต้องจัดการต้นทุนให้เป็น... . - แยกแยะต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปร - ระบุกิจกรรมหรือทรัพยากรที่มีต้นทุนสูง - มองหาโอกาสในการประหยัดต้นทุนโดยไม่กระทบคุณภาพ . เคล็ดลับ: Startup ที่ประสบความสำเร็จมักเริ่มต้นด้วยโครงสร้างต้นทุนที่เรียบง่ายและยืดหยุ่น . . การสร้าง Startup หรือธุรกิจใหม่อาจดูเป็นเรื่องท้าทาย แต่ด้วย Business Model Canvas คุณจะมองเห็นภาพรวมธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น และวางแผนได้รอบคอบมากขึ้นก่อนลงมือลุยในโลกจริง . และที่ Zawasde เรามีเครื่องมือและความรู้เพิ่มเติมที่จะช่วยคุณสร้าง Business Model ที่แข็งแกร่ง พร้อมเริ่มต้นธุรกิจของคุณได้อย่างมั่นใจ ไปลองใช้เครื่องมือของเราได้ฟรี . คลิกที่ปุ่มเลย!

Download Now!
Gra 026
ฟรี! เฉพาะสมาชิก
khaoyaitiang 017
ฟรี! เฉพาะสมาชิก
Circle_21
ฟรี! เฉพาะสมาชิก
khaoyaitiang 019
ฟรี! เฉพาะสมาชิก
Comixa Figure (189)
ฟรี! เฉพาะสมาชิก
Comixa Flame (125)
ฟรี! เฉพาะสมาชิก
Comixa Power (60)
ฟรี! เฉพาะสมาชิก
jomtien beach 021
ฟรี! เฉพาะสมาชิก